“โบสถ์เปาไว” เป็นชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไป มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ “โบสถ์แห่งนักบุญออกุสติน(The Church of Saint Augustine)” หรือ โบสถ์ซานอากุสติน เป็นเขตวัดของคณะสงฆ์โรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ที่เมืองเปาไว(Paoay) จังหวัดอีโลกอส นอร์เต(Ilocos Norte) ทางตอนเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ เป็น 1 ใน 4 โบสถ์ฟิลิปปินส์ที่ก่อสร้างขึ้นในระหว่างช่วงฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปน ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1993 ในฐานะสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยมลักษณะแบบโบสถ์บาโรกในประเทศฟิลิปปินส์
ประวัติที่มาของโบสถ์เปาไว ก่อสร้างขึ้นเมื่อค.ศ.1694 โดยบาทหลวงอันโตนิโอ เอสตาวิลโล(Father Antonio Estavillo)นักบุญออกัสติเนียนชาวสเปน ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 16 ปีจึงแล้วเสร็จเมื่อค.ศ.1710 (ข้อมูลในป้ายอักษรแกะสลักไว้แตกต่างกัน โดยระบุว่าสร้างเมื่อปี 1593 ตัวโบสถ์วางฐานรากในปี 1704 หอระฆังสร้างในปี 1793) สถาปัตยกรรมที่เป็นตัวโบสถ์เดิมพังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อค.ศ.1706 และ 1927
ปัจจุบัน ภายหลังการบูรณะ โบสถ์เปาไวมีขนาดความสูง 110 เมตร กว้าง 40 เมตร สร้างจากหินปะการังและอิฐ จุดเด่นอันสำคัญของโบสถ์เปาไวก็คือการผสมผสานองค์ประกอบแบบโลกตะวันออกรวมเข้ากับแบบอย่างสถาปัตยกรรมบาโรกในยุคกลาง เรียกกันว่าเป็นโบสถ์ในรูปแบบ“บาโรกถิ่นแผ่นดินไหว(Earthquake Baroque)”อย่างลงตัวงดงาม ได้รับการยอมรับเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเลิศที่ประยุกต์การสร้างสิ่งก่อสร้างให้เข้ากับสภาพของดินในเขตแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเนืองๆ เทคนิคการก่อสร้างดังกล่าวยังคงรักษาสภาพตัวอาคารและโบสถ์ส่วนเดิมให้คงและลดความเสียหายจากแผ่นดินไหว
โครงสร้างของโบสถ์เปาไว มีลักษณะแปลกไปกว่าสถาปัตยกรรมทางคริสต์ศาสนาอื่นๆ มีรูปทรงแบบสามเหลี่ยมปิรามิด ฐานกว้าง ปลายแหลม มีประตูโค้งทางเข้าเพียงประตูเดียว บนยอดหลังคาสร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมหลังคาสามเหลี่ยม เจาะช่องหน้าต่างรวม 4 บาน ผนังด้านหน้าโบสถ์แกะสลักลวดลายลงบนผิวหิน ส่วนกลางเจาะเป็นช่องประดิษฐานรูปปั้นของบาทหลวงอันโตนิโอ เอสตาวิลโล สองฟากอาคารโบสถ์มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษด้วยการใช้ครีบยัน (buttresses) รูปทรงลอนโค้งแบบทึบตัน ยื่นออกด้านนอกของตัวโบสถ์เพื่อกระจายน้ำหนักออกทั้งสองด้าน ส่วนยอดบนของครีบยันสร้างติดกับหลังคาโบสถ์เป็นส่วนเดียวกัน อันเป็นเทคนิคเอกลักษณ์การก่อสร้างเพื่อรองรับแรงสั่นสะเทือนเมื่อเกิดแผ่นดินไหว บริเวณฝั่งขวาของโบสถ์สร้างเป็นหอระฆังสูง 3 ชั้น โดยสร้างแยกออกจากตัวโบสถ์ ด้านบนของหอระฆังสร้างเป็นรูปโดมครึ่งวงกลม ในอดีตนั้นหอระฆังแห่งนี้เคยใช้เป็นหอตรวจการณ์ในการกอบกู้เอกราชฟิลิปปินส์ และยังเคยถูกกองกำลังอิสระเข้ายึดครองเป็นฐานที่มั่นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้ในการต่อสู้กับกองกำลังทหารญี่ปุ่น